ดูบทความ
ดูบทความรู้มั้ย..กระดูกสันหลังเสื่อม ก็ทำให้ขาชาได้เหมือนกันนะ
รู้มั้ย..กระดูกสันหลังเสื่อม ก็ทำให้ขาชาได้เหมือนกันนะ
รู้มั้ย..กระดูกสันหลังเสื่อม
ก็ทำให้ขาชาได้เหมือนกันนะ
เมื่อมีอาการขาชา โรคที่คนส่วนใหญ่นึกถึงกันคงไม่พ้นหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ไม่ก็กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท ถ้าคนที่ชอบกินหวานมากๆอาการชาก็อาจมาจากเบาหวานได้ แต่เพื่อนๆทราบกันมั้ยว่า ข้อกระดูกสันหลังของคนเราถ้าเสื่อมมากๆเข้า มันก็ทำให้ขาชาได้เช่นกัน
ทำไมกระดูกสันหลังเสื่อมถึงทำให้ขาชาได้?
ก่อนที่ผมจะอธิบายว่า ทำไมข้อกระดูกสันหลังเสื่อมถึงทำให้ขาชาได้นั้น เราต้องทำความเข้าใจโครงสร้างข้อกระดูกสันหลังและเส้นประสาทที่อยู่โดยรอบกันก่อน ดูรูปประกอบทางด้านล่างนี้เลยครับ
intervertebral foramen คือ ช่องที่รากประสาทไขสันหลังออกมา
จากรูปเพื่อนๆจะเห็นแล้วว่า ตัวรากประสาทไขสันหลังจะออกมาจากข้อกระดูกสันหลังเพื่อไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาส่วนต่างๆได้ ตัวเส้นประสาทต้องรอดผ่านรูที่มีชื่อว่า intervertebral foramen แล้วเจ้ารูนี้แหละครับที่เป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทได้
เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น สารนํ้าในหมอนรองกระดูกจะลดน้อยลง ข้อกระดูกสันหลังเกิดการทรุดตัว พอข้อกระดูกทรุดตัวลง รูที่รากประสาทไขสันหลังออกมาก็เริ่มตีบแคบ ในระยะแรกการกดทับจะยังไม่เกิดขึ้น เพราะรูยังมีขนาดใหญ่อยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ข้อกระดูกทรุดตัวมากขึ้น ทำให้รูที่รากประสาทออกมา (intervertebral foramen) ตีบแคบลงไปอีก จนในที่สุดรากประสาทก็ถูกกดทับ แล้วเกิดอาการชาลงขาได้นั่นเอง
เมื่อกระดูกเสื่อม intervertebral foramen จะตีบแคบลงจนไปกดทับเส้นประสาท
จุดเด่นของคนที่เป็นกระดูกเสื่อมทับเส้นก็คือ เวลาแอ่นหลังจะมีอาการปวดตึงขัดในหลัง รู intervertebral foramen ก็จะยิ่งตีบแคบลงกว่าเดิมทำให้ขาชามากขึ้นจากการกดทับเส้นประสาท แต่จะรู้สึกสบายทันทีเมื่อก้มหลัง หรือนั่งหลังค่อม เพราะการก้มหลังจะช่วยให้ข้อกระดูกที่ทรุดอยู่ได้ยืดออก และช่วยเพิ่มช่องว่างของ intervertebral foramen อาการชาก็จะหายไปทันทีด้วยเช่นกัน
แต่ทำไมบางคนไม่ว่าจะก้มหลังแค่ไหนก็ตาม อาการชาก็ยังคงมีอยู่ตลอดเวลาได้ละ?
คนที่เป็นข้อกระดูกสันหลังเสื่อม นอกจากจะมีข้อกระดูกสันหลังทรุดตัว และรูที่รากประสาทออกมาจะตีบแคบลงแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เกิดกระดูกงอกที่ข้อกระดูกสันหลังครับ ซึ่งตัวกระดูกงอกมันจะเกิดบริเวณรอยต่อระหว่างข้อกระดูกสันหลังชิ้นบนกับชิ้นล่างมาบรรจบกัน ซึ่งตรงที่ข้อกระดูกทั้ง 2 มาต่อกันตรงนี้มีชื่อเรียกว่า facet joint
รูปข้อกระดูก facet joint
แล้วที่สำคัญคือ ตัวข้อ facet joint มันดันไปอยู่ใกล้กับ intervertebral foramen ที่เป็นทางผ่านของรากประสาทไขสันหลังออกมา แล้วถ้าตัว facet joint เสื่อมมาก มันก็จะเกิดกระดูกงอกมากตามไปด้วย ผลก็คือ เจ้าตัวกระดูกงอกเนี่ยแหละ มันก็จะงอกไปเบียดเส้นประสาท จนทำให้เราเกิดอาการชาลงขาได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดก็ตามนั่นเองครับผม
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า แม้ข้อกระดูกจะไม่ได้ทรุดมากจนรู intervertebral foramen ตีบแคบจนไปกดทับรากประสาท แต่ถ้าข้อกระดูก facet joint มันเสื่อมเยอะจนเกิดกระดูกงอกมากๆเข้า มันก็จะทำให้กระดูกงอกไปกดรากประสาทได้อีกต่อหนึ่งเช่นกัน
ภาพเปรียบเทียบ facet joint สุขภาพดี กับเสื่อม
แล้วแบบไหนอันตรายกว่ากัน?
จริงๆแล้วมันก็อันตรายพอๆกันทั้งคู่นะ แต่ถ้าให้เทียบกับคนเป็นหมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาทละก็ คนเป็นกระดูกหลังเสื่อมทับเส้นถือว่าเบากว่าเยอะครับ คือ เราจะรู้สึกปวดบ้าง ชาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ชาตลอดเวลา เว้นแต่ว่าเราไปทำท่าที่กระตุ้นอาการให้ทับเส้นมากขึ้น เช่น แอ่นหลัง ยกของหนัก นั่งนาน แต่พอเปลี่ยนอิริยาบทอาการก็ดีขึ้นเอง
ภาพแสดง ลักษณะโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
แต่ในรายที่เสื่อมมากๆ เส้นประสาทถูกกดทับมานานก็อาจทำให้เราเกิดอาการชาค้างตลอดเวลาได้เช่นกัน โดยมากมักจะชาที่ฝ่าเท้านะ จะมีบ้างที่ชาตั้งแต่ต้นขาลงไปถึงปลายเท้าตลอดร่วมกับมรอาการปวด แล้วอาการชามันก็จะอยู่แบบนั้นทั้งปีแบบกำหนดไม่ได้ด้วยนะว่า จะหายชาเมื่อไหร่
แล้วถ้าถามว่ามันจะแย่ไปกว่านี้อีกมั้ย? โดยปกติร่างกายคนเรามีกลไกรักษาตัวเองโดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ ถ้าร่างกายเราจับได้ว่า ข้อกระดูกสันหลังเสื่อม พอขยับข้อกระดูกชิ้นนั้นมากๆเข้าจะยิ่งไปทำอันตรายต่อรากประสาทที่อยู่ใกล้ๆ ร่างกายก็จัดการให้ข้อกระดูกชิ้นนั้นอยู่นิ่งๆไปเลย โดยการสร้างกระดูกงอกมาพอกรอบข้อกระดูกสันหลังชิ้นนั้นซะ ให้ข้อมันติดไปเลย เพื่อแลกกับการที่รากประสาทจะไม่ถูกกดทับ ไม่ถูกเสียดสีจนเสียหายไปมากกว่านี้
ฉะนั้น ในคนไข้ที่เป็นข้อกระดูกหลังเสื่อมทับเส้นบางคน แม้จะไม่ได้รับการรักษาอะไรมากมาย แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งเค้าจะรู้สึกว่าหลังมันแข็ง จะก้มจะเงยก็ลำบาก แต่เอ๊ะ! อาการขาชา ปวดขามันก็หายไปแล้ว เนี่ยแหละครับกระบวนการที่ร่างกายมันรักษาตัวเอง
การรักษา ข้อกระดูกสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาท
สำหรับการรักษาผมจะอธิบายใน 2 มุมมองนะ
1) นักกายภาพรักษาให้ :
- ปัญหาของคนที่เป็นข้อสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาท คือ ข้อทรุด แล้วไปทับเส้นใช่มั้ยครับ วิธีรักษาคือ เราจะใช้การดึงยืดข้อกระดูกสันหลังก่อน เพื่อเพิ่มช่องว่างข้อกระดูกที่ตีบแคบให้ยืดออกกัน การกดทับเส้นประสาทก็จะไม่เกิดขึ้น (ณ ตอนที่ยืด)
ซึ่งการดึงหลังมันมีหลายวิธีนะ ถ้าเราไปแผนกกายภาพตามรพ.เราก็จะเห็นนักกายภาพใช้เครื่องดึงหลัง แต่ถ้าไม่มีเครื่องดึงก็จะใช้มือดึงหลังโดยตรงก็ได้ หรือใช้เทคนิคกายบริหารบางท่าร่วมกับการหายใจ ก็ทำให้ข้อกระดูกสันหลังถูกยืดออกได้ไม่ยาก
เครื่องดึงหลังที่มักเห็นตามแผนกกายภาพในโรงพยาบาล
บางรายที่มีข้อกระดูกสันหลังติดมาก จากกระดูกงอกที่พอกขึ้นมายึดเยอะเกินไป จนทำให้คนไข้รู้สึกหลังแข็ง ก้มหลัง แอ่นหลังลำบากละก็ นักกายภาพก็จะใช้เทคนิคการขยับข้อต่อข้อนั้นโดยตรง เพื่อให้ข้อกระดูกกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติอีกครั้ง แล้วจะรู้สึกสบายหลังโล่งมากขึ้น แล้วหลายคนจะหายชาด้วยการรักษาแบบนี้ ซึ่งเทคนิคการขยับข้อจัดกระดูกมันมีหลายเทคนิคมาก ผมไม่ขอลงรายละเอียดนะ
สุดท้ายคือ การออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางให้แข็งแรง กล้ามเนื้อแกนกลางถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยชะลอการเสื่อมของข้อกระดูกสันหลัง หรือถ้าใครเสื่อมแล้วก็จะช่วยไม่ให้เสื่อมไปมากกว่าเดิม เพราะกล้ามเนื้อมันจะเป็นตัวพยุงโครงสร้างกระดูกเอาไว้นั่นเองครับ
ถ้าคนไข้เอาแต่ดึงหลัง ไปให้นักกายภาพดัดกระดูกให้ แต่ไม่ยอมออกกำลังกายเลย ในท้ายที่สุดไม่ช้าก็เร็วข้อกระดูกสันหลังมันก็จะกลับมาทรุดใหม่จนเกิดอาการปวด ชาซํ้าแล้วซํ้าเล่าไม่หายขาดซะทีนะครับ
กล้ามเนื้อแกนกลาง ที่ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้อง สีข้าง และหลังมัดลึก
2) รักษาตัวเอง :
- ขั้นตอนการรักษาตัวเองก็จะเริ่มต้นคล้ายๆกันครับ คือ เริ่มจากการดึงหลังก่อน เพื่อยืดข้อกระดูกที่ทรุดตัวให้ยืดออกจากกัน การกดทับเส้นประสาทก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเทคนิคการดึงหลังเองก็ดูได้ตามคลิปด้านล่างนี้เลยนะครับ อ่อ แล้วการดึงหลัง เราก็สามารถดึงได้บ่อยเท่าที่เราต้องการเลยนะ
วิธีดึงหลังด้วยตนเอง https://youtu.be/YYWAEvEmwuk
เมื่อดึงหลังเสร็จปุ๊บ เราก็จัดการดัดข้อกระดูกสันหลังเองต่อ แม้จะไม่รู้สึกโล่งทันทีเหมือนตอนที่นักกายภาพดัดให้ แต่ถ้าอาศัยว่าทำอย่างสมํ่าเสมอก็เห็นผลและรู้สึกดีขึ้นได้เช่นกันครับ วิธีการดูได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะ
วิธีดัดหลัง ยืดหลังด้วยตนเอง https://youtu.be/d35bwx0GiGk
ท่าที่ 2 ในนาทีที่ 1:55 และ ท่าที่ 6 นาทีที่ 11:00 นะครับ
และสุดท้ายก็คือ การออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลาง วิธีการออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางนั้นมีหลากหลายมาก เช่น การเล่นพิลาทิส การฝึก core exercise ทั่วๆไปที่เห็นตามฟิตเนส แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายจริงๆจังๆแบบนั้น ผมก็แนะให้ฝึกท่าเดียวง่ายๆเลยตามคลิปด้านล่างนี้ครับ ดูนาทีที่ 7:53 นะครับ
สรุป
ถึงแม้ว่าโรคกระดูกสันหลังเสื่อมอาจจะฟังดูน่ากลัวสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมกลับมองว่า มันเป็นธรรมชาติของร่างกายมากกว่านะ คือ พอเราอายุมากขึ้นร่างกายของเรามันก็ต้องสึกหรอบ้างเป็นธรรมดา เราคงไม่สามารถหยุดการเสื่อมของข้อกระดูกได้ แต่เราสามารถชะลอการเสื่อมได้หลายวิธีเลยนะ เช่น...
- การปรับพฤติกรรม วิธีนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดเลยนะ มากกว่าการออกกำลังกาย มากกว่าเรื่องโภชนาการซะอีก เช่น ถ้าใครที่นั่งทำงานนาน มันแน่นอนอยู่แล้วว่าการนั่งนานจะทำให้นํ้าหนักตัวเรากดที่กระดูกสันหลังโดยตรง ถ้านั่งนานก็ยิ่งกดนาน ข้อกระดูกก็เสื่อมไวเป็นธรรมดาจากแรงกดของนํ้าหนักตัวที่กดอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเราเลี่ยงการนั่งทำงานไม่ได้ ผมก็แนะให้ลุกขึ้นยืน เดินทุกๆ 50 นาที ลุกขึ้นมายืนสัก 5 นาที ให้หลังได้พักจากการกดทับนานๆ แล้วค่อยกลับไปนั่งทำงานต่อ ถ้ากลับมาบ้านก็ให้ยืนกินข้าวเย็น ยืนดูทีวีบ้าง เพราะตลอดเวลางานเราก็นั่งมาทั้งวันแล้ว
- การออกกำลังกาย อย่างที่บอกไปว่า ถ้ากล้ามเนื้อโดยรวมเราแข็งแรงดี โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลาง กล้ามเนื้อเหล่านี้จะช่วยพยุงโครงสร้างกระดูกไม่ให้รับแรงกระแทกโดยตรงขณะที่เรายืน เดิน นั่ง วิ่ง คนทีกล้ามเนื้อแข็งแรงก็เหมือนกับช่วยยืดอายุของข้อกระดูกให้ยืนยาวได้อีกด้วย
- ทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง เพื่อนๆอ่านกันดีๆนะครับ ผมใช้คำว่า "อาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง" ไม่ใช่ทานวิตามินที่มีแคลเซี่ยมสูงนะ จริงอยู่ที่การทานแคลเซี่ยมเม็ดมันจะสะดวกและง่าย แค่เปิดขวด แล้วหยิบแคลเซี่ยมเม็ดใส่ปาก จบ!
แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าแคลเซี่ยมเม็ดที่เราทานเข้าไปนั้นมันจะมีผลกระทบต่อร่างกายเราอย่างไรบ้างในระยะยาว แล้วที่สำคัญเราก็ไม่รู้ด้วยว่าแคลเซี่ยมเม็ดที่ทานเข้าไปร่างกายเราดูดซึมเอาไปใช้ได้หมดมั้ย หรือจะไปตกค้างที่ส่วนไหนอีกบ้าง
ฉะนั้น ผมแนะให้เพื่อนๆทานอาหารตามธรรมชาติที่มีแคลเซี่ยมสูงจะสบายใจกว่าครับ อาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงเราก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น นมวัว ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ใบชะพลู ผักกระเฉด เป็นต้น พืชตระกูลถั่ว งาดำ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง อาหารบ้านๆเหล่านี้แหละครับที่เป็นแหล่งแคลเซี่ยมที่ดี ที่เราหาทานได้ทุกวัน และที่สำคัญราคาก็ไม่ได้แพงมาก แถมสารอาหารก็ได้หลากหลายด้วยนะครับ
เรื่องของกระดูกหลังเสื่อม เพื่อนๆอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของผู้สูงอายุ แต่คนไข้ที่มาคลินิกผม บางคนอายุแค่ 30 ต้นๆก็เริ่มมีสัญญาณของกระดูกสันหลังเสื่อมกันแล้วนะ เช่น ข้อหลังบางข้อเริ่มติด องศาการบิดของกระดูกทำได้ไม่สุด ภาพ x-ray บางคนก็เริ่มเห็นเป็นฝ้าขาวๆที่ข้อกระดูกหลังแล้ว บ่งบอกว่าเริ่มมีกระดูกหนาตัวขึ้น ซึ่งผลตรวจร่างกยกับการซักประวัติก็สอดคล้องกันด้วย นั่นคือ คนกลุ่มนี้มักมีพฤติกรรมที่นั่งนานมาก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ดื่มนํ้าหวานเยอะ
นี่แค่อายุ 30 ต้นข้อกระดูกก็เริ่มไปแล้ว นี่ถ้าอายุสัก 60 จะขนาดไหนผมนี่แทบไม่อยากจะจินตนาการเลยนะนี่ สุขภาพที่ดีได้มันอยู่ที่พฤติกรรมของเราล้วนๆครับ
แล้วถ้าเพื่อนๆต้องการปรึกษาอะไรป็นพิเศษ หรือต้องการนัดเข้าคลินิกก็ทักมาได้ใน Line ID : @doobody ได้เลยนะครับ
และติดตามสาระสุขภาพได้ใน https://www.facebook.com/doobodys/
19 มิถุนายน 2562
ผู้ชม 10325 ครั้ง
แสดงความคิดเห็น