ดูบทความ
ดูบทความ6 โรคปวดหลังยอดฮิต ทรมานสุดฤทธิ์ กับชีวิตที่นั่งนาน
6 โรคปวดหลังยอดฮิต ทรมานสุดฤทธิ์ กับชีวิตที่นั่งนาน
6 โรคปวดหลังยอดฮิต
ทรมานสุดฤทธิ์ กับชีวิตที่นั่งนาน
ถ้าเพื่อนๆที่ต้องทำงานอยู่ในท่านั่งตลอดตั้งแต่ 8 โมงเช้า ยัน 5 โมงเย็น กลับมาบ้านก็นั่งดูซีรี่ย์ในมือถือต่อวนเวียนแบบนี้วันแล้ววันเล่า หรือมีความจำเป็นที่ต้องนั่งขับรถนานๆทุกๆวันล่ะก็ ผมคิดว่าเพื่อนๆคงหนีไม่พ้น 1 ใน 6 โรคปวดหลังนี้แน่นอน
แล้วทั้ง 6 โรคที่ผมจะพูดถึง ไม่จำเป็นต้องรอจนแก่แล้วถึงเป็นกันนะ คนส่วนใหญ่ที่เป็นในปัจจุบันอายุ 30 40 ปี แทบทั้งนั้นเลยที่มารักษากับผม พอพูดคุย ถามอาชีพการทำงานก็พูดเหมือนๆกันคือ นั่ง นั่ง แล้วนั่งทำงานจนเป็นโรคกันเนี่ยแหละ
แล้วเชื่อเถอะครับว่า ไม่ว่าเพื่อนๆจะเป็นโรคหมอนรองปลิ้นทับเส้นประสาท หรือโรคเบาๆอย่างปวดหลังเรื้อรัง ถ้าได้เป็นขึ้นมาสักโรคแล้วล่ะก็ เพียงแค่เอาก้นหย่อนเก้าอี้ได้ไม่นาน เราก็ต้องเจอกับอาการปวดขึ้นมาทันที บางคนเป็นมากจนต้องยอมลาออกจากงานก็มีเยอะมาก
ถ้าเพื่อนๆไม่อยากให้ 1 ใน 6 โรคนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเองแล้วล่ะก็ ลองอ่านบทความนี้ ศึกษาเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ แล้วขณะอ่าน ให้ยืนอ่านกันนะครับ และทั้ง 6 โรคที่ว่าจะมีอะไรบ้าง เชิญอ่านต่อกันได้ได้เลยครับผม
1. โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (herniated disk disease)
จัดว่าเป็นโรคปวดหลังร้าวลงขา และทำให้ขาชาที่พบได้มากที่สุด รักษาหายยาก มีค่าใช้จ่ายในการรักษา และเสี่ยงโดนผ่าตัดหลังสูงที่สุดในบรรดา 6 โรคเลยก็ว่าได้
โรคนี้คือภาวะเจลที่อยู่ในหมอนรองกระดูกมันปลิ้นออกมาอยู่ด้านนอก แล้วไหลไปกดทับกับรากประสาทไขสันหลังที่อยู่ทางด้านหลังเข้า พอโดนรากประสาทปั๊ป ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดขา ขาชาตามแนวรากประสาทที่ถูกกดทับ
แต่หากเจลปลิ้นออกมามากขึ้น ทับรากประสาทมากขึ้นอีกผู้ป่วยก็จะปวดหลังอย่างชัดเจน เดินหลังตรงไม่ได้ รู้สึกขาหนัก ก้าวขาลำบาก ถ้าให้นั่งจะรู้สึกดี แต่ถ้ายืนจะปวดมากขึ้น บางคนปวดขนาดต้องนอนนิ่งๆ จะให้ใครมาโดนตัวไม่ได้เลยก็มี หรือบางคนก็ต้องหายใจเบาๆ เพราะถ้าหายใจแรงจะยิ่งปวดกว่าเดิม
ต้นเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้ก็เพราะพฤติกรรมที่ชอบ"นั่งหลังค่อม"ครับ เพราะการนั่งหลังค่อมจะทำให้เจลในหมอนรองเคลื่อนไปออที่ด้านหลังกันมาก จนมันดันเนื้อหมอนรองทางด้านหลังให้ค่อยๆฉีกขาด จนเจลมันปลิ้นออกมาได้
นอกจากการนั่งหลังค่อม การยืนก้มหลังยกของหนัก หรือการยืนยกของแล้วบิดเอวซํ้าๆเป็นประจำมีความเสี่ยงทีทำให้หมอนรองปลิ้นง่ายกว่าการนั่งอีกนะ เพราะท่าเหล่านี้ทำให้เกิดแรงดันในหมอนรองเยอะมากๆจากนํ้าหนักสิ่งของที่เราถืออยู่นั่นเองครับ
ส่วนวิธีการรักษาแบบทำเองดูที่คลิปนี้ได้เลย
- เริ่มจากการดึงหลัง https://youtu.be/YYWAEvEmwuk
- ดัดหลังให้หมอนรองไหลกลับเข้าที่ เน้นท่าที่ 1-5 ก็พอ ทำท่าไหนเจ็บเลี่ยงท่านั้น https://youtu.be/mQE9aQU53q0
- วิธีตรวจว่าเป็นโรคหมอนรองทับเส้นรึเปล่า https://youtu.be/D6GiQbkFPSs
2. โรคข้อกระดูกสันหลังเสื่อม (Lumbar Spondylosis)
ถ้าเทียบกับข้อที่ 1 แล้ว โรคกระดูกสันหลังเสื่อมถือว่าเบากว่าเยอะครับ โรคนี้จะมีอาการไม่รุนแรงมากหรอกครับ หลักๆก็คือจะปวดหลัง ตึงหลัง หลังแข็ง ก้มหลังลำบาก ปวดตึงหลังช่วงเช้าแต่พอได้บิดตัวประมาณ 20 นาทีอาการก็ดีขึ้นได้ไม่ยาก
แต่ถ้าข้อมันเสื่อมและทรุดมากขึ้นความซวยจะเริ่มมาเยือนทันทีครับ เพราะการที่ข้อมันทรุดลงมันมีความเสี่ยงที่ข้อกระดูกจะไปกดเบียดรากประสาทไขสันหลัง หรือเกิดกระดูกงอกขึ้นรอบข้อสันหลัง แล้วเจ้ากระดูกงอกเนี่ยแหละดันงอกไปโดนเส้นประสาทอีกทีจนทำให้เกิดอาการชาลงขาได้
ถึงแม้จะชาลงขา อาการชาก็ยังถือว่าเบาอยู่ดีครับ น้อยคนจริงๆที่เป็นข้อสันหลังเสื่อมแล้วจะปวดแบบดื้นทุรนทุรายเหมือนโรคที่ 1 ซึ่งโรคนี้เกี่ยวข้องกับอายุที่มากขึ้นด้วย แต่กระดูกสันหลังจะเสื่อมและทรุดตัวได้ไวขึ้น ถ้าเรายังคงนั่งทำงานนานๆ เพราะการนั่งมันทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกสันหลังมากกว่าท่ายืนมากมายเลย
ข้อกระดูกสันหลังเลยต้องรับนํ้าหนักที่มากอยู่ตลอดเวลา พอใช้งานมันมากๆก็เข้าสู่ภาวะเสื่อมได้ไวขึ้นนั่นเอง แต่ก็มีข้อยกเว้นบางอย่าง ถ้ากล้ามเนื้อแกนกลาง (หลังมัดลึก) แข็งแรงดี ก็ช่วยชะลอการเสื่อมได้มากเช่นกันนะ แถมคนที่หลังแข็งแรงก็ไม่ค่อยจะปวดหลังกันด้วยเด้อ
วิธีคลายอาการปวดตึงหลัง หลังแข็ง
- เริ่มจากการดึงหลัง https://youtu.be/3SLcMoxdcgw
- การยืดคลายหลัง https://youtu.be/G4YylMovvio
3. ข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท (spondylolisthesis)
โรคข้อกระดูกสันหลังเคลื่อน สำหรับผมถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงพอสมควรเลยนะ แม้คนที่เป็นโรคนี้จะไม่ได้ปวดหลังมากจนชักดิ้นชักงอเหมือนโรคที่ 1 หรือจะชาขามากจนเป็นอัมพฤก
แต่ข้อเสียชิ้นโตเลยสำหรับคนเป็นโรคนี้ก็คือ... ถ้าได้เป็นแล้วไม่หายขาดนะ ส่วนการทำกายภาพก็ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อสันหลังมันเคลื่อนมากขึ้นกับช่วยลดปวดได้ระดับหนึ่ง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเชื่อมส่วนปลายกับส่วนต้นกระดูกสันหลังมันแตกออกจากกัน กระดูกส่วนต้นเลยเคลื่อนได้เป็นอิสระ
ทางเดียวที่รักษาให้หายขาดคือ ต้องใช้การผ่าตัดเชื่อมกระดูกที่แตกออกให้มาติดกันเหมือนเดิมครับ แต่เพื่อนๆก็ไม่ต้องตกใจนะว่า พอรู้ว่าเป็นโรคนี้ต้องวิ่งแจ้นไปให้หมอเฉือนหลังทันที ไม่ใช่ครับ คนที่จะโดนผ่าตัดคือคนที่ข้อสันหลังมันเคลื่อนออกไปมากเกิน 50%
และมีอาการชาขามาก ชาตลอดเวลา จนกล้ามเนื้อขาเริ่มฝ่อไปบางส่วนแล้ว ถ้าเป็นในลักษณะนี้ก็คือต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยไว ไม่งั้นข้อสันหลังมันจะเคลื่อนมากขึ้นจนไปกดทับเส้นประสาททำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้ แต่ถ้าดูผล x-ray แล้วข้อไม่ได้เคลื่อนมาก อาการปวดชาก็ไม่ได้เยอะอะไร แบบนี้ก็เน้นออกกำลังกายอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วครับ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เป็นข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนคือ คนที่หลังแอ่นมากครับ เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, คนอ้วนลงพุง หรือคนที่ชอบนั่งหลังแอ่นเองจนติดเป็นนิสัย แล้วแอ่นตลอดเวลาไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดินจนข้อสันหลังมันเคลื่อนในที่สุด
ท่าบริหารป้องกันไม่ให้ข้อเคลื่อนมากกว่าเดิม
- ท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมัดลึก https://youtu.be/t2MKVX3Tp1I
- ท่าออกกำลังกายหลัง https://youtu.be/9-lE7q5-WkA
4. กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (piriformis syndrome)
จัดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อที่ก้นที่พบกันได้ทุกช่วงทุกวัยเลยก็ว่าได้ เพราะโรคนี้เกี่ยวกับการนั่งซะเป็นส่วนใหญ่ การนั่งนานจะทำให้กล้ามเนื้อก้นมัดลึกมัดหนึ่งที่มีชื่อว่า piriformis ที่อยู่ติดกับเส้นประสาท sciatic ตึง
ถ้าแค่ตึงธรรมดาเราก็จะรู้สึกปวดในก้นลึกๆ เหมือนมีเข็มทู่ๆมาตำที่ก้นอยู่ตลอดเวลา ปวดแบบหาจุดกดเจ็บไม่เจอซะที จนต้องนั่งตะแคงก้นไปตลอดเวลาทำงานก็มี แต่ถ้าได้ยืนเดินสักพักอาการก็จะดีขึ้นมาหน่อย
แต่อาการจะแย่มากขึ้นทันทีถ้ากล้ามเนื้อ piriformis ตึงมากขึ้นจนไปหนีบกับเส้นประสาท sciatic ที่อยู่ใต้มัดนั้น พอเส้นประสาทถูกหนีบปั๊ปเราจะรู้สึกปวดชาร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งทันที แรกๆจะปวดแบบเป็นๆหายๆ จะปวดมากขึ้นถ้าเริ่มนั่งนานๆ
ถ้าปล่อยไว้นานๆไม่ได้รักษา กล้ามเนื้อจะตึงมากขึ้นอาการปวดชาลงขาก็มากขึ้น จากเดิมที่เป็นๆหายๆ คราวนี้แหละครับ เราจะรู้สึกปวดตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนหัวถึงหมอนกันเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ปวดหนักจนถึงขั้นทุรนทุราย แต่มันก็ปวดตลอดเวลาจนรบกวนการนอนของเราได้ การทานยาลดปวดก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นอีกต่างหาย
พอเราไปหาหมอด้วยอาการปวดสะโพกร้าวลงขา ขาชาแบบนี้ ถ้าไม่ตรวจกันละเอียดดีๆ ส่วนใหญ่จะโดนเหมาว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทกันแทบทั้งนั้นเลยครับ จัดว่าเป็นโรคที่สร้างความปวดหัวให้ทั้งกับหมอ และตัวคนไข้ไม่น้อยเลยล่ะ อ่อ แล้วการ x-ray กับ MRI ไม่สามารถตรวจได้นะว่าเราเป็นโรคนี้
วิธีการรักษา
- คลิปวิธียืดกล้ามเนื้อสะโพก https://youtu.be/wEeZaC99PhQ
- ยืดเส้นประสาทขาลดอาการชา https://youtu.be/PhY5qokahls
5. โรค SI joint syndrome
อีกโรคที่สร้างอาการปวดหัวให้ทั้งหมอและคนไข้ แถมการทำ MRI ก็ยังไม่สามารถตรวจได้ด้วยว่าเป็นโรคนี้ ยกเว้นการ x-ray ตรวจพบได้นะแต่ต้องสังเกตุกันดีๆเลยล่ะครับ
โรคนี้จัดว่าเป็นโรคความเสื่อมอย่างหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเกิดจากข้อกระดูกเชิงกรานกับกระเบนเหน็บมันชิดกันมากเกินไปจนทำให้ข้อเสื่อมแล้วเกิดอาการปวดขึ้น หรือไม่ก็เกิดจากเอ็นที่อยู่รอบๆข้อกระเบนเหน็บมันตึงอักเสบก็ทำให้เกิดอาการได้เหมือนกันนะ
ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคนี้ก็มาจากพฤติกรรมการนั่งเช่นกันครับ แต่จะเป็นการนั่งที่ค่อนข้างวิลิศมาหราหน่อย เช่น ชอบนั่งไขว่ห้าง นั่งเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง(เหมือนท่านั่งท่านขุนน่ะ) นั่งเอียงตัวไปข้างหนึ่งแล้วลงนํ้าหนักที่ก้นข้างใดข้างหนึ่งนานๆ นั่งโซฟาที่เบาะนิ่มมากๆ หรือนั่งขับรถนานๆ
พฤติกรรมแบบนี้แหละที่ทำสะสมกันเป็นปีๆถึงจะทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นมาได้ ส่วนอาการปวด โดยมากมักปวดตามขอบกางเกงใน บางคนปวดมากหน่อยก็จะร้าวลงขาหนีบบ้าง ร้าวลงก้น หรือร้าวขึ้นไปที่เอวบ้าง แล้วอาการปวดจะมากขึ้นทันทีถ้าผู้ป่วยต้องนั่งนานๆ
อาการปวดแม้จะไม่ได้รุนแรงมาก แต่ที่แน่ๆถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆมันจะทำให้เรานั่งนานไม่ได้ ซึ่งจะสร้างปัญหาในคนที่ต้องขับรถอยู่บ่อยๆ มีปัญหาข้อเชิงกรานติด เวลาเดินก็จะเดินตูดบิดไม่เท่ากัน ถ้าเป็นผู้หญิงใส่กระโปรงจะสังเกตุเห็นได้ในช่วงเย็นว่ากระโปรงมันบิดหมุน จากเดิมที่ซิปอยู่ด้านหลัง พอตกเย็นเท่านั้นแหละ ซิปดันเลื่อนมาอยู่ด้านข้างเฉยเลย
วิธีรักษา
- คลิปท่าบริหารแก้ปวด part 1 https://youtu.be/_w90KdZtP_o
- คลิปท่าบริหารแก้ปวด part 2 https://youtu.be/INUPLpthIoY
6. กล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน
จริงๆอันนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นโรคซะทีเดียวนะ เป็นเพียงอาการปวดหลังซะมากกว่า แต่เพิ่มคำว่าปวดเฉียบพลันเข้ามาเสริมเท่านั้นเอง
ในหัวข้อนี้ก็คืออาการปวดกล้ามเนื้อหลังธรรมดานั่นแหละครับ ถ้าคนเรานั่งทำงานนานๆก็จะปวดตึงหลังกันบ้างอยู่แล้ว แต่อาการปวดก็อยู่ในระดับที่ทนได้สบายๆ หรือถ้าทนไม่ได้ก็จะลุกขึ้นยืนเดินสักพักอาการปวดก็เบาไปเอง
แต่อาการปวดหลังเฉียบพลันมันรุนแรงกว่านั้น คือ มันปวดแปล็บที่หลังจนชะงัก ขยับตัวไม่ได้ หลังแข็ง แต่จะรีบล้มตัวลงนอนหรือนั่งทันทีก็ไม่ได้อีก เพราะแค่ขยับตัวอาการปวดก็เพิ่มขึ้นจนอยากจะแหกปากร้องจ๊าก ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างค่อยๆช้าๆ ทุกอย่างดูเนิ่นนานไปหมด
คนไข้คนหนึ่งเล่าว่ากว่าเค้าจะล้มตัวลงนอนได้จากท่ายืน ต้องใช้เวลามากกว่า 30 นาที ถ้าขยับตัวเร็วแม้แต่นิดเดียวจะปวดแปล็บที่หลังเหมือนมีแส้มาฟาดเลย แล้วพอนอนควํ่าลงได้ อาการปวดก็ยังไม่เบาซะที จนต้องเรียกรถรพ.มารับ
พอมารับก็ให้พยาบาลมายกตัวเค้าไม่ได้อีก โดนตัวไม่ได้เลย ต้องค่อยๆกระดึ๊บตัวขึ้นไปนอนบนเปลหามเอง แล้วก็ขนขึ้นรถไปในท่านอนควํ่าเหมือนท่ากบถูกรถทับไปแบบนั้นนั่นแหละครับ รวมเวลาเบ็ดเสร็จจากกระดึ๊บขึ้นเปลหามจนถึงรถรพ.ก็ปาเข้าไปอีก 40 นาที
ช่วงที่ทรมานสุดก็ตอนที่นอนในรถแล้วรถสะเทือนนั่นแหละครับ เหมือนมีคนเอาแส้มาฟาดตลอดเวลา ร้องโหยหวนยาวไปจนถึงรพ. แต่พอหมอฉีดยาลดปวดกับยาคลายกล้ามเนื้อให้ อาการปวดดีขึ้นแทบจะทันทีเลย ยาลดปวดคลายกล้ามเนื้อมันจะได้ผลดีถ้าเราปวดที่กล้ามเนื้อจริงๆนะ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของคนที่ปวดหลังเฉียบพลันนะครับ ซึ่งสาเหตุมีหลายอย่างมากจริงๆ เช่น ไปยกของหนัก ยืนบิดเอวแรงๆ ก้มหลังหยิบของหล่นที่พื้น เผลอนอนบิดตัวแล้วตื่นมาปวดแปล็บทันที หรือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนแต่ไปฝืนออกในท่ายากๆเลยก็ทำให้ปวดเฉียบพลันได้
ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เราปวดแบบนี้ก็มีนะ ที่เจอเยอะที่สุดเลยก็คือ เล่นกีฬาที่มีการปะทะกันอย่างฟุตบอล รักบี้ หรือโดนรถเฉี่ยวจนตัวไถลไปข้างหน้าทำให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบครับ
ซึ่งการนั่งนานจะไม่ค่อยทำให้เราเป็นโรคนี้นะ ส่วนมากจะทำให้ปวดตึงหลังเรื้อรังธรรมดาซะมากกว่า ถ้าได้นวด เปลี่ยนอิริยาบถ หรือยืดหลังอาการก็ดีขึ้นได้ แต่ก็มีผู้ป่วยบางคนที่กล้ามเนื้อหลังอ่อนแรงมาก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แค่มีคนเรียกชื่อเค้าจากด้านหลังแล้วหัวขวับไปเรีวๆ เกิดอาการปวดแปล๊บที่หลังขึ้นมาทันทีก็มี
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดแบบนี้ที่ง่ายที่สุดก็คือ การหมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเข้าไว้นะครับ
- วิธียืดกล้ามเนื้อหลัง https://youtu.be/G4YylMovvio
- วิธีออกกำลังกายหลังท่าง่ายๆ https://youtu.be/lda8kKZm-xU
สรุป ถ้าเพื่อนๆเลี่ยงการนั่งทำงานไม่ได้จริงๆ เพราะชีวิตต้องทำงานหน้าคอมตลอดล่ะก็ ผมก็แนะนำเลยว่า ให้ตั้งนาฬิกาเตือนเราทุกๆ 50 นาที พอครบ 50 นาทีปุ๊ปเราก็ลุกขึ้นยืนเดินสัก 5-10 นาที แล้วค่อยกลับมานั่งทำงานใหม่ ทำแบบนี้ตั้งแต่เช้ายันเลิกงาน ก็จะป้องกันไม่ให้โรคทั้ง 6 เกิดขึ้นกับเราได้แล้วนะ
- คลิป วิธีป้องกันโรคออฟฟิศ ซินโดรม https://youtu.be/DY5YMfdj7Ac
สุดท้ายโรคทางกายที่เกิดขึ้นกับเราอยู่ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเองแทบทั้งสิ้น แค่ปรับพฤติกรรมวันล่ะนิดก็ห่างไกลโรคเป็นหมื่นลี้แล้วครับ ^^
------------------------------------------------------------------------------------------
https://www.facebook.com/doobodys/
http://www.doobody.com/รวมบทความ
รวมคลิปท่าบริหาร youtube/doondoobody
Line ID :doobody
28 กุมภาพันธ์ 2562
ผู้ชม 22752 ครั้ง
แสดงความคิดเห็น