shopup.com

สถิติผู้เข้าชมเว็บ

12641972

ดูบทความดูเผินๆแล้วเป็นหลังคด แต่จริงๆแล้วมันไม่ช่ายยยยย

ดูเผินๆแล้วเป็นหลังคด แต่จริงๆแล้วมันไม่ช่ายยยยย

หมวดหมู่: หลัง ลำตัว

 

 

 

ดูเผินๆแล้วเป็นหลังคด

แต่จริงๆแล้วมันไม่ช่ายยยยย

 

มีเคสนึงที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ศึกษากัน ซึ่งคนไข้รายนี้มาหาผมด้วยอาการปวดตึงหลังล่างตามแนวขอบกางเกงใน โดยอาการปวดหลังจะปวดแบบตึงๆ ชวนให้รำคาญมากกว่าจะปวดแบบทรมาน 

 

แต่สิ่งที่สร้างความลำบากใจจริงๆก็คือ คนไข้มีอาการปวดเรื้อรังมาเป็นปี รักษามาทุกรูปแบบแล้ว ส่วนใหญ่ก็ดีขึ้นชั่วคราว แล้วก็กลับมาปวดใหม่ซํ้าไปซํ้ามาแบบนี้ ทั้งๆที่ตนเองก็อายุแค่ 20 ปลายๆ ร่างกายก็แข็งแรงดี ออกกำลังกายเล่นกีฬาได้ตามปกติ แต่ทำไมรักษาไม่หาย แล้วถ้าอายุมากขึ้นอาการปวดหลังจะรุนแรงกว่านี้มั้ย นั่นจึงเป็นที่มาของการตระเวนไปรักษาหลังมาหลายที่นั่นเอง 

 

พอคนไข้มาถึงผมก็จับตรวจร่างกายตามปกติ โดยให้คนไข้ถอดเสื้อ แล้วใช้ปากการะบุตำแหน่งตามปุ่มกระดูกช่วงหัวไหล่ สะบัก และเชิงกรานทั้ง 2 ข้าง เพื่อดูว่าร่างกายซีกซ้าย-ขวามันเท่ากันมั้ย 

 

ร่างกายซีกขวาตํ่าซ้าย

 

แล้วพอวาดลวดลายบนร่างกายคนไข้เสร็จป้าบบบบ ผมก็ร้อง "เอ๊ะ!? ทำไมมันเบี้ยวขนาดนี้" ถ้าดูจากรูป เราจะเห็นเลยว่าร่างกายซีกขวาตํ่ากว่าซีกซ้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะหัวไหล่ สะบัก และเชิงกรานซีกขวาตํ่ากว่าทั้งหมดเลย พอเป็นแบบนี้แสดงว่าไม่น่าจะเกิดจากแค่ยืนตัวเบี้ยวเองแล้ว น่าจะเกิดจากโครงสร้างกระดูกสันหลังบิด หรือไม่ก็คดร่วมด้วยแน่ๆ

 

ภาพเปรียบเทียบยืนเสริมแผ่นเสริมรองเท้ากับไม่ได้เสริม

 

พอคิดได้ดังนั้น ผมให้คนไข้ยืนก้มหลังเอามือแตะปลายเท้าต่อทันที พอคนไข้ก้มตัวป๊าบบบบบ โอ้...เห็นจะจะเลยว่าหลังซีกซ้ายของคนไข้สูงกว่าซีกขวาอย่างมาก ซึ่งการที่คนไข้ก้มหลังเอามือแตะปลายเท้าแล้วหลังเบี้ยวแบบนี้ มันเป็นเทคนิคการตรวจหลังคดได้อย่างหนึ่ง(อย่างหยาบๆนะ) แต่เรายังปักใจเชื่อไม่ได้ว่าคนไข้เค้าหลังคดจริงๆหรือคดหลอกๆ

 

หลังซีกซ้ายดูนูนกว่าขวา ขณะก้มเอามือแตะปลายเท้า

 

ผมเลยให้คนไข้นอนบนเตียง แล้วหยิบสายวัดมาวัดความยาวขาทั้ง 2 ข้างของคนไข้ พอวัดเสร็จสัพถึงได้รู้ว่า ปัญหาร่างกายซีกขวาตํ่ากว่าซ้ายทั้งแถบ แถมหลังซีกซ้ายยังดูนูนกว่าปกติจนดูเหมือนเป็นหลังคดนั้น เกิดจากขาข้างขวาสั้นกว่าขาซ้ายถึง 1 ซม.!! 

 

ซึ่งการที่ขาขวาสั้นกว่าขาซ้ายถึง 1 ซม. มันมีผลให้เวลายืนตรง เราจะเห็นว่าหัวไหล่ขวา สะบักขวา และสะโพกขวา(Rt. SI joint) มันดูตํ่ากว่าข้างซ้ายอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง

 

ส่วนเวลาก้มหลังเอามือแตะปลายเท้า แล้วเห็นว่าหลังซีกซ้ายดูนูนกว่าซีกขวาจนดูเหมือนเป็นหลังคดนั้น ก็เพราะขาขวามันสั้นกว่าขาซ้าย ร่างกายซีกขวาเลยดูเตี้ยลงจนซีกซ้ายดูสูงนูนกว่าปกติเท่านั้นเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ถ้าผู้รักษาไม่สังเกตุให้ดีหรือตรวจไม่ครอบคลุมพอ เราอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าคนไข้รายนี้เป็นกระดูกสันหลังคด จนวางแผนการรักษาผิด แล้วทำให้อาการปวดหลังไม่หายขาดซะที

 

ภาพเปรียบเทียบ ยืนก้มมือแตะปลายเท้าเสริมแผ่นรองเท้ากับไม่ได้เสริม

 

วิธีการรักษา

การรักษาคนไข้รายนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ทำแค่ 3 อย่างเท่านั้นเอง 

.

1) เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวา 

ผมแนะนำให้คนไข้ไปซื้อแผ่นรองเท้ามาเสริมเฉพาะเท้าขวา ในช่วงแรกผมแนะให้ใช้แผ่นรองเท้าทั่วๆไปก่อน ยังไม่ถึงขั้นไปตัดแผ่นเสริมสูง 1 ซม.ทันทีนะ เพราะคนไข้เคยชินกับการยืนขาขาสั้นยาวไม่เท่ากันมานาน ถ้าจู่ๆเราไปเสริมเท้าขวาให้ขา 2 ข้างเท่ากันทันที ร่างกายจะยังปรับตัวไม่ทัน แล้วอาจทำให้ยืนตัวเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากกว่าเดิมก็ได้ 

 

เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวา (ขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย 1 ซม.)

 

2) ยืนปรับบุคลิก 

วิธีการนี้ผมให้คนไข้ยืนตัวตรง โดยใส่แผ่นเสริมรองเท้าแบบทั่วๆไปที่เท้าขวา จากนั้นคอยไกด์ให้ยืนตัวตรง ปรับไหล่ให้เท่ากัน ยืนลงนํ้าหนักเท้าให้เท่ากันทั้ง 2 ข้าง แล้วให้ยืนนิ่งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 15 นาที เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการยืนตรงอย่างถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่การยืนตัวบิดเบี้ยวไปมา 

 

ภาพเปรียบเทียบ เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวาอย่างเดียว กับปรับบุคลิกร่วมด้วย

 

แล้วทันทีที่ผมไกด์จนคนไข้ยืนตรงได้ถูกต้องแล้ว คนไข้บอกผมทันทีเลยว่า "นี่ตรงแล้วหรอครับ ผมรู้สึกยืนตัวเบี้ยวมากๆ แถมต้องเกร็งมากๆเลยถึงจะยืนแบบนี้ได้" พอคนไข้บอกแบบนี้ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ชี้ไปที่กระจกให้ดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก แล้วถามว่า "มองตัวเองในกระจกแล้ว คิดว่าเรายืนตัวตรงมั้ย หัวไหล่ และสะโพกทั้ง 2 ข้างสูงใกล้เคียงกันมั้ย?" คนไข้ตอบว่า "หัวไหล่และสะโพกทั้ง 2 ข้างแทบจะเท่ากันแล้วครับ" ผมเลยบอกต่อไปว่า "เวลากลับไปฝึกที่บ้าน ให้ดูกระจกตลอดนะ จงเชื่อสายตา อย่าพึ่งเชื่อความรู้สึกของร่างกายตอนนี้ มันยังชินกับการยืนเบี้ยวๆอยู่เด้ออออ"

 

3) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว

สำหรับการออกกำลังกายในคนไข้รายนี้ จะเน้นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเป็นหลักเลยครับ เป็นท่าออกกำลังกายทั่วๆไปที่เราเห็นตามฟิตเนสเลยนะ เช่น ท่า plank, side plank, ฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นต้น เพื่อให้กล้ามเนื้อเหล่านี้ช่วยพยุงโครงสร้างแกนกลางลำตัวให้นิ่ง เวลายืนปรับบุคลิกจะได้ยืนคุมตัวให้ตรงได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ

 

สำหรับเพื่อนๆบางคนอาจจะมีข้อสงสัยว่า จู่ๆขาคนเรามันสั้นยาวไม่เท่ากันมันเกิดได้ยังไง? หลักๆเลยเกิดจาก 2 สาเหตุครับ 

1) เป็นมาแต่กำเนิด : คือ เกิดมาปุ๊บขามันก็สั้นยาวไม่เท่ากันเองดื้อๆเลย หรือขาข้างนึงดันโตช้ากว่าอีกข้างนึงโดยไม่ทราบสาเหตุ

2) เกิดจากอุบัติเหตุ : เช่น เคยรถล้มกระดูกขาหักไปข้างนึง เนื้อกระดูกหายไปบางส่วนจากการหักครั้งนั้น เลยทำให้ขาข้างนั้นสั้นกว่าอีกข้าง คนไข้รายนี้ก็เกิดจากสาเหตุนี้เช่นกันครับ คนไข้บอกว่าในวัยเด็กเคยเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าขวาหัก จนทำให้กระดูกขาส่วนข้อเท้าขวาเจริญเติบโตช้ากว่าข้างซ้าย จนส่งผลให้ขาขวาสั้นกว่าขาซ้ายก็เป็นไปได้

 

 

 

สรุป

อาการปวดหลังของคนไข้รายนี้มาจากขาสั้นยาวไม่เท่ากัน ส่งผลให้การยืนลงนํ้าหนักขา 2 ข้างไม่เท่ากัน จนเกิดแรงกดที่เชิงกรานข้างซ้ายและขวาไม่เท่ากันตามมา และทำให้สมดุลความตึงของกล้ามเนื้อซีกซ้ายและขวาไม่เท่ากันตามมาแล้วทำให้ปวดหลังได้นั่นเอง เมื่อคนไข้เสริมแผ่นรองเท้าข้างขวาแล้วฝึกยืนปรับบุคลิกจนร่างกายคุ้นเคยกับการยืนแบบใหม่อย่างถูกต้องแล้ว อาการปวดหลังในระหว่างวันจะค่อยๆหายไปเองครับ

 

 

 

17 กุมภาพันธ์ 2564

ผู้ชม 7904 ครั้ง

    Engine by shopup.com